top of page

จับตา New Normal การท่องเที่ยว โฉมหน้าใหม่ของการพักผ่อนหลัง COVID-19

ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทุกภาคส่วน

ต้องหยุดชะงักไปทั่วโลก หลายคนแทบไม่เคยจินตนาการถึงภาพวันที่สายการบินประกาศหยุดบิน สนามบินร้างผู้คน 

รถสาธารณะหยุดวิ่ง ท้องถนนที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงา รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวและโรงแรมต่าง ๆ ที่พากันปิดตัวลง

ชั่วคราว เช่นเดียวกับผู้ประกอบการธุรกิจอีกหลากหลายประเภท ที่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่เศรษฐกิจการท่องเที่ยว

และได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน


จนถึงวันนี้ ความรุนแรงของโรคระบาดในหลาย ๆ ประเทศ ค่อย ๆ ลดระดับลงแล้ว มีการผ่อนคลายมาตรการบางส่วน เพื่อให้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่เพิ่งมีการประกาศยกเลิกการห้ามออกนอกเคหสถาน หรือยกเลิกเคอร์ฟิวไปเมื่อไม่นานมานี้ และแม้ว่าจะยังคงอยู่ภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน แต่แหล่งท่องเที่ยว ระบบขนส่ง โรงแรมและที่พักต่าง ๆ ก็เริ่มทยอยกลับมาเปิดให้บริการกันอีกครั้งตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด ที่พักบางแห่งมียอดจองสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าเสียอีก


สัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้นเหล่านี้ ทำให้ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการภาคส่วนต่าง ๆ เริ่มคาดการณ์ถึง New Normal หรือวิถีการท่องเที่ยวแบบใหม่ที่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง เพราะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทุกคนจะอยากเก็บกระเป๋าก้าวเท้าออกมาท่องเที่ยวกันแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน

มาตรการความสะอาดและสุขอนามัย เพื่อความปลอดภัยแบบเต็มขั้น

การดูแลเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย เริ่มจากตัวนักท่องเที่ยวเอง ซึ่งทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หน้ากากอนามัย และเจลล้างมือแอลกอฮอล์ กลายเป็นปัจจัยที่ 6 หรือ 7 ในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว และจะกลายเป็น New Normal ที่ปฏิบัติกันทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวอาจถูกร้องขอหรือตรวจสอบให้เตรียมใส่หน้ากากอนามัยไว้เสมอ รวมถึงสร้างสุขนิสัยใหม่ในการใช้เจลล้างมือแอลกอฮอล์เป็นประจำ และล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง


ด้านของแหล่งท่องเที่ยว สถานีขนส่งสาธารณะ ตลอดจนโรงแรมหรือที่พักต่าง ๆ จำเป็นต้องยกระดับมาตรฐานเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยให้ถึงที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ตั้งแต่การเตรียมเจลล้างมือแอลกอฮอล์ไว้ในทุก ๆ จุด เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค เลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดโอกาสการสะสมของเชื้อโรค หรือการปรับมาตรฐานระบบระบายอากาศให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหลาย ๆ โรงแรมก็เริ่มสื่อสารเรื่องความปลอดภัยกับลูกค้า โดยติดป้ายแจ้งให้ผู้มาใช้บริการได้มั่นใจว่า ห้องพักนี้ผ่านการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หรือลิฟต์ตัวนี้ผ่านการฆ่าเชื้อทุก ๆ 30 นาที เป็นต้น

และเรายังมีโอกาสที่จะเห็นนวัตกรรมการฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ตู้อบฆ่าเชื้อรูปแบบต่าง ๆ ที่มีตั้งแต่ขนาดเล็ก สำหรับฆ่าเชื้อหน้ากากอนามัยหรือสิ่งของขนาดไม่ใหญ่มาก ไปจนถึงตู้อบขนาดใหญ่ ที่ผู้มาใช้บริการสามารถเข้าไปได้ทั้งตัว นวัตกรรมเหล่านี้จะไม่เป็นเพียงเทคโนโลยีทางการแพทย์ในโรงพยาบาลอีกต่อไป แต่จะอาจติดตั้งทั่วไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปด้วย

ทั้งนี้ อาคารสถานที่แต่ละแห่ง ยังต้องเตรียมเครื่องมือสำหรับตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าสถานที่ และให้ผู้เข้าใช้บริการแจ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ หรือเช็คอินและเช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มบันทึกข้อมูล เพื่อเป็นประโยชน์ในภายหลังหากพบว่ามีความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาดในบริเวณนั้น


มาตรการเว้นระยะห่าง และจำกัดจำนวนคนเข้าใช้บริการ

Social Distancing ซึ่งเป็นคำเราได้ยินกันบ่อยที่สุดในช่วงนี้ ก็จะกลายเป็นวิถีปฏิบัติที่จะอยู่กับชีวิตของเราไปอีกนาน อาคารสถานที่ต่าง ๆ ต้องมีการวางแผนเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ซึ่งเราจะเริ่มสังเกตเห็นการทำเครื่องหมายเพื่อให้ผู้มาใช้บริการต่อคิวเว้นระยะห่างกันอย่างเป็นระเบียบในส่วนของล็อบบี้โรงแรม และอาจจะได้เห็นภาพของห้องอาหารบุฟเฟต์ที่ต้องปรับเปลี่ยนมาให้บริการอาหารเซ็ตเดี่ยว เสิร์ฟแยกกัน และนั่งรับประทานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แทน

ส่วนใครที่เลือกเดินทางโดยเครื่องบิน นอกจากจะต้องเผื่อเวลาเพิ่มขึ้นในการตรวจสอบความปลอดภัยและการเว้นระยะห่างทางสังคมที่สนามบินแล้ว ก็อาจจะได้เห็นเครื่องแบบใหม่ของแอร์โฮสเตสที่รัดกุมและปลอดภัยมากขึ้น บางสายการบินอาจใช้วิธีให้ผู้โดยสารหยิบอาหารเองเพื่อลดการสัมผัส และเป็นไปได้ว่ามาตรการเว้นระยะที่นั่งของผู้โดยสาร ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้โดยสารต่อเที่ยวน้อยลงนั้น อาจส่งผลให้ค่าตั๋วเครื่องบินจำเป็นต้องปรับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย

และในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นหุ่นยนต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานบริการ อย่างเช่นในสนามบินหรือในร้านอาหารมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสระหว่างคนกับคนนั่นเอง

ขณะเดียวกัน สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เริ่มใช้วิธีจำกัดจำนวนผู้มาใช้บริการ หรือแบ่งรอบเวลาเข้าใช้บริการออกเป็นหลาย ๆ ช่วง บางแห่งหันมาเปิดให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียนออนไลน์หรือซื้อตั๋วได้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพร้อมกันจำนวนมาก ๆ จนเกิดความแออัด อย่างเช่นอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ ในประเทศไทย ก็จะเริ่มมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับโรงแรมที่พัก รถโดยสารสาธารณะ หรือบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ ก็ต้องบริหารจัดการเพื่อลดความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวลงเช่นกัน


ได้เวลาปรับตัวสู่สังคม Contactless

สถานการณ์ COVID – 19 กลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้ทั้งโลกค่อย ๆ ก้าวสู่การเป็นสังคมแบบ Contactless อย่างเต็มรูปแบบเร็วขึ้น เพราะยิ่งลดการสัมผัสระหว่างคนกับคน หรือคนกับสิ่งของลงได้ ก็เท่ากับลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อลงด้วย ต้องขอบคุณที่ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เอื้อให้ผู้คนสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ แบบออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงิน การจองและการเช็คอิน ทั้งสำหรับสายการบินและโรงแรมที่พัก โดยทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีแอพพลิเคชันในสมาร์ทโฟนเท่านั้นเอง

และแม้แต่การจับจ่ายเลือกซื้อของฝากของที่ระลึก ก็อาจต้องเปลี่ยนรูปแบบไป ร้านค้าอาจใช้วิธีนำเสนอเพียงสินค้าตัวอย่าง แล้วให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสั่งสินค้าผ่านระบบออนไลน์แทน


หมดยุคกรุ๊ปทัวร์แก๊งใหญ่ เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มเล็ก

สำหรับบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ เทรนด์การท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ อาจจะเริ่มลดลง โดยเน้นที่นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก เนื่องจากสามารถดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัยได้ทั่วถึงกว่า และยังสามารถควบคุมการเว้นระยะห่างทางสังคมได้ บางบริษัทอาจใช้มาตรการรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่เป็นครอบครัวหรือเพื่อนซึ่งมาด้วยกันแบบส่วนตัวเท่านั้น และอาจมีการคัดกรองสุขภาพของลูกทัวร์ก่อนเริ่มทริป หรืออาจกำหนดให้นักท่องเที่ยวต้องมี Health Certificate หรือใบรับรองสุขภาพ จึงจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้

ในด้านของนักเดินทางที่เที่ยวเองโดยไม่พึ่งบริษัทนำเที่ยว กลุ่มนี้ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นโอกาสให้สายการบิน ธุรกิจรถให้เช่า จับมือกับโรงแรมที่พัก ตลอดจนบริษัทนำเที่ยวที่ให้บริการแบบ One day trip ร่วมกันเป็นเครือข่าย เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการของเหล่านักท่องเที่ยวอิสระได้ตรงจุดมากขึ้น


เมื่อคนไทยพร้อมใจกันเที่ยวในประเทศ เน้นเทรนด์ท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

หลังจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทยค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ เหล่านักท่องเที่ยวที่เก็บตัวอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ มาเป็นเวลานาน จึงเริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนสำหรับตนเองและครอบครัว และจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเทใจให้ ก็ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งได้โอกาสฟื้นตัวและเติบโตทางธุรกิจในช่วงนี้เอง

ทั้งนี้ เป็นเพราะผู้คนยังคงมองหาแหล่งท่องเที่ยวใกล้บ้าน ที่สามารถไปเยือนได้ง่าย ๆ ในวันหยุด ใช้เวลาเดินทางไม่มาก และราคาไม่แพงจนเกินไป รวมถึงได้สัมผัสเอกลักษณ์ของชุมชนหรือท้องถิ่นนั้น ๆ ผ่านอาหารสดอร่อย และวัฒนธรรมงดงามแปลกตา กำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวภายในประเทศนี่เอง จะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ไม่เพียงเท่านั้น เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน จะเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวยังต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง มาหาความสงบจากธรรมชาติหรือชุมชนขนาดเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากการที่ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนปรากฏภาพความสวยงามผ่านหน้าสื่อต่าง ๆ น่าจะทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการท่องเที่ยวที่ไม่จำเป็นต้องรบกวนหรือทำลายสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับทางอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ที่นอกจากจะจำกัดจำนวนคนเข้าแล้ว ยังเริ่มวางแผนที่จะปิดอุทยานแห่งชาติปีละ 3 เดือน เพื่อให้ธรรมชาติได้พักจากการรบกวนของมนุษย์ และเป็นผลดีต่อความสมบูรณ์ของธรรมชาติในระยะยาว


ปรับตัวสู่ New Normal หรือชีวิตวิถีใหม่ไปด้วยกัน

แม้ว่าภาพการท่องเที่ยวในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ต้องอาศัยการปรับตัวของผู้ประกอบการต่าง ๆ รวมถึงตัวนักท่องเที่ยวเองในหลาย ๆ ด้าน แต่หลายฝ่ายก็มองว่า นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพครั้งใหญ่ แทนที่จะพัฒนาในเชิงปริมาณหรือเน้นที่ยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจใช้เวลาถึง 2 – 3 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติจึงจะกลับมาเท่าเดิมเทียบกับก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาด

ทั้งหมดนี้ ยังต้องพัฒนาควบคู่กันไปกับการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวมีความรับผิดชอบต่อสังคม และปฏิบัติตามกฎหรือคำแนะนำต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด รวมถึงสนับสนุนให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยอำนวยความสะดวกด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

และไม่ว่า New Normal หรือมาตรการใหม่ ๆ จะเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวไปแค่ไหน แพพันวารีย์ เดอะกรีนเนอรี่ เชื่อว่าเราจะสามารถปรับตัวไปด้วยกันได้ และเหล่านักเดินทางจะได้เก็บความประทับใจจากการท่องเที่ยวพักผ่อนได้เต็มที่เหมือนเคยอย่างแน่นอน

Gallery

bottom of page